เกิด : วันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ.1867
ที่เมืองวอร์ซอร์ (Warsaw) ประเทศโปแลนด์ (Poland)
เสียชีวิต : วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1934
ที่กรุงปารีส (Paris) ประเทศฝรั่งเศษ (France)
ผลงาน - ค้นพบธาตุเรเดียม
- ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
ในปี ค.ศ.1903 จากผลงานการพบธาตุเรเดียม
-
ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์อีกครั้งหนึ่ง ในปี ค.ศ.1911
จากผลงานการค้นคว้าหาประโยชน์จากธาตุเรเดียม
โรคมะเร็งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของโรคทั้งหมด
ทั้งที่โรคมะเร็งไม่ใช่โรคติดต่อ หรือโรคระบาดร้ายแรงอะไรเลย
แต่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สาเหตุที่ทำให้คนต้องเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ก็เพราะว่า
โรคมะเร็งเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้
หากปล่อยให้ลุกลามไปถึงระยะสุดท้ายแล้ว
แต่ถ้าเป็นระยะแรกก็อาจจะรักษาได้ด้วยการแายรังสีเรเดียม และนักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบธาตุชนิดนี้ก็คือ
มารี คูรี่ ไม่เฉพาะโรคมะเร็งเท่านั้นที่เรเดียมรักษาได้ เรเดียมยังสามารถรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้
และเนื้องอกได้อีกด้วย
มารีเกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน
ค.ศ.1867 ที่กรุงวอร์ซอร์ ประเทศโปแลนด์ ก่อนที่เธอจะสมรสกับปิแอร์ คูรี่เธอชื่อว่า
มารียา สโคลดอฟสกา (Marja Sklodowska) บิดาของเธอชื่อว่า วลาดิสลาฟ
สโคลดอฟสกา เป็นครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์
และคณิตศาสตร์อยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในกรุงวอร์ซอร์
บิดาของเธอมักพาเธอไปห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนด้วยเสมอ ทำให้เธอมีความสนใจวิชาวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก
ต่อมารัสเซียได้เข้ามายึดโปแลนด์ไว้เป็นเมืองขึ้น อีกทั้งกดขี่ข่มเหงชาวโปแลนด์
และมีคำสั่งให้ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียวเท่านั้นเพื่อป้องกันการก่อกบฏ
ทำให้ครอบครัวของมารีและชาวโปแลนด์ต้องได้รับความลำบากมากทีเดียว
หลังจากจบการศึกษาขั้นต้นแล้ว
มารีได้เข้าทำงานเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง และรับสอนพิเศษให้กับเด็ก ๆ แถวบ้าน
มารีและพี่สาวของเธอบรอนยา ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนอนุบาลเช่นเดียวกัน
ทั้งสองมีความตั้งใจว่าถ้าเก็บเงินได้มากพอเมื่อใดจะไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส
แต่รายได้เพียงน้อยนิด ทำให้ทั้งสองต้องเก็บเงินอยู่เป็นเวลานานก็ยังไม่พอ
ดังนั้นทั้งสองจึงตกลงกันว่าจะนำเงินเก็บมารวมกัน
โดยให้บรอนยาไปเรียนต่อแพทย์ก่อน เมื่อบรอนยาเรียนจบ แล้วหางานทำจึงส่งมารีไปเรียนต่อวิทยาศาสตร์บ้าง ดังนั้นบรอนยาจึงเดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อเข้าศึกษาต่อในวิชาแพทย์
ที่มหาวิทยาลัยปารีส(Paris
University) หลังจากเรียนจบบรอนยาได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับมารี
ในปี ค.ศ.1891 มารีได้เดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศส
เพื่อศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยปารีส มารีต้องใช้ความอดทนและพยายามอย่างมากในการอยู่ที่ปารีสเพราะเงินที่บรอนยาส่งมาให้ใช้จ่ายน้อยมาก
เพียงพอต่อค่าห้องพักและค่าอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนเสื้อผ้ามารีไม่มีเงินเหลือพอที่หาซื้อมาใส่ให้ร่างกายอบอุ่นได้
ทำให้เธอเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นมารีก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่กับการอ่านหนังสือและด้วยเหตุนี้ทำให้เธอได้มีโอกาสได้พบกับปิแอร์
คูรี่ ซึ่งเป็นผู้ควบคุมห้องทดลองและอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยปารีสด้วยความที่ทั้งสองมีชีวิตที่คล้าย ๆ
กัน และมีความรักในวิชาวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน ปิแอร์และมารีตกลงใจแต่งงานกันในปีค.ศ.1895
และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งปิแอร์เสียชีวิตในวันที่ 19 เมษายน
ค.ศ.1906 จากอุบัติเหตุรถชน
ในระหว่างนั้นมีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านทำการทดลองและค้นพบรังสีหลายชนิด
เช่น ในปี ค.ศ.1879 วิเลี่ยม ครุกส์(William Crooks)
พบรังสีคาโทด (Cathode Ray) ในปี ค.ศ.1895
วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilheim Konrad Roentgen) ค้นพบรังสีเอกซ์
(X- ray) และอังตวน อังรี เบคเคอเรล (Anton Henri
Becquere) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท
ของปิแอร์
และมาได้ค้นพบกัมมันตภาพรังสีจากแร่ยูเรเนียม
จากการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์หลายท่านทำให้มารีมีความคิดที่จะทดลองหากัมมันตภาพรังสีจากแร่ชนิดอื่นบ้าง
การทดสอบหารังสียูเรเนียมทำได้โดยการนำธาตุมาบดให้ละเอียด แล้วนำมาโรยใส่แผ่นฟิล์มถ่ายรูป
แต่ต้องทำให้ห้องมืด เพื่อไม่ให้แสงโดนฟิล์ม
จากนั้นจึงนำไปล้างถ้าปรากฏจุดสีดำบนแผ่นฟิล์มแสดงว่าธาตุชนิดนั้นสามารถแผ่รังสีได้
นอกจากนี้ยังสามารถทดสอบได้จากเครื่องแสดงกำลังประจุไฟฟ้า (Electroscope)มารีได้ร่วมมือกับสามีของเธอคือ ปิแอร์
คูรี่ ทำการค้นหารังสียูเรเนียมจากธาตุชนิดอื่น
มารีได้นำธาตุเกือบทุกชนิดมาทำการทดสอบหารังสียูเรเนียม
ทั้งธาตุที่มีสารประกอบยูเรเนียมผสมอยู่ และธาตุที่ไม่มียูเรเนียมผสมอยู่
จากการทดสอบทั้งสองพบว่าธาตุที่เป็นสารประกอบยูเรเนียมสามารถแผ่รังสียูเรเนียมได้
แต่ก็ให้กำลังน้อยมากอีกทั้งการสกัดยูเรเนียมออกมาก็ทำได้ยากแต่มารีก็ยังไม่ละความพยายามเธอยังค้นหาและแยกธาตุชนิดต่าง
ๆ อีกมากมาย มารีใช้เวลานานหลายปีในการทดสอบแร่และในที่สุดเธอก็พบว่าในแร่พิทซ์เบลนด์
(Pitchblende) ซึ่งเป็นออกไซด์ชนิดหนึ่งของแร่ยูเรเนียม
และสามารถแผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเนียมหลายเท่า
แต่การที่แร่พิทซ์เบลนด์สามารถแผ่รังสีได้ น่าจะมีธาตุชนิดอื่นผสมอยู่
มารีตั้งชื่อธาตุชนิดนี้ว่า เรเดียม (Radium)
มารีได้นำผลงานการค้นพบธาตุเรเดียมมาทำวิทยานิพนธ์สำหรับรับปริญญาเอก
เมื่อคณะกรรมการพิจารณารายงานของเธอ พร้อมกับซักถามเกี่ยวกับรายงานอย่างละเอียด
คณะกรรมการได้ลงมติให้รายงานของเธอผ่านการพิจารณา ทำให้เธอได้รับปริญญาเอกจากผลงานชิ้นนี้เองปิแอร์
และมารีได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรเดียมต่อไปเพื่อแยกธาตุเรเดียมออกจากแร่พิทซ์เบลนด์ให้ได้แต่ทั้งสองก็ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย
ตั้งแต่ห้องทดลองที่คับแคบ อีกทั้งเครื่องมือในการทดลองก็เก่า และล้าสมัย รวมถึงในขณะนั้น มารีได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนแรก
ทำให้ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายอีกด้วย
แต่ทั้งสองก็ยังคงพยายามแยกเรเดียมให้บริสุทธิ์ ซึ่งก็ยังมีโชคดีอยู่บ้างที่ทางมหาวิทยาลัยปารีสได้อนุญาตให้ทั้งสองใช้ห้องหนึ่งที่อยู่ใกล้
ๆ กับห้องทดลองเป็นสถานที่แยกเรเดียมได้
ดังนั้นในปี ค.ศ.1898
ทั้งสองจึงเริ่มทำการค้นคว้าหาวิธีแยกเรเดียมอย่างจริงจัง
โดยมารีได้สั่งซื้อเรเดียมจากออสเตรีย
จำนวน 1 ตัน เพื่อใช้สำหรับการทดลอง
ทั้งสองพยายามแรกแร่เรเดียมด้วยวิธีการต่าง ๆ หลายวิธี เช่น ใช้สารเคมี
บดให้ละเอียดแล้วนำไปละลายน้ำ
แยกด้วยไฟฟ้าและใช้เครื่องแสดงกำลังประจุไฟฟ้าบางชนิด เป็นต้น
ในที่สุดทั้งสองก็พบวิธีการแยกเรเดียมบริสุทธิ์ ได้สำเร็จในปี ค.ศ.1902
และเรียกเรเดียมบริสุทธิ์นี้ว่า "เรเดียมคลอไรด์ (Radium chloride)" เรเดียมบริสุทธิ์นี้สามารถแผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเนียมถึง
2,000,000 กว่าเท่า ในขณะที่แร่ พิทช์เบลนด์แผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเดียมเพียง 4
เท่าเท่านั้น
อีกทั้งเรเดียมบริสุทธิ์ยังมีสมบัติสำคัญอีกหลายประการ ได้แก่ สามารถให้แสงสว่าง
และความร้อนได้ นอกจากนี้เมื่อเรเดียมแผ่รังสีไปถูกวัตถุอื่น
วัตถุนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นธาตุกัมมันตภาพรังสี
และสามารถแผ่รังสีได้เช่นเดียวกันกับเรเดียม
ต่อมาในระหว่างที่ปิแอร์ทำการทดลองเกี่ยวกับธาตุเรเดียมอยู่นี้
บังเอิญรังสีโดนผิวหนังของปิแอร์ ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนบนผิวหนังบริเวณนั้นอีกทั้งยังมีรอยแดงเกิดขึ้น
แม้ปิแอร์จะตกใจเมื่อเห็นเช่นนั้นแต่ด้วยความอยากรู้ เขาจึงทำการค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับเรเดียมที่มีผลกระทบต่อผิวหนัง
จากการค้นคว้าทดลองปิแอร์สรุปได้ว่าเรเดียมสามารถรักษาโรคผิวหนังและโรคมะเร็งได้
ทั้งสองได้นำผลงานชิ้นนี้ออกเผยแพร่ให้กับสาธารณชนได้รับรู้
และจากผลงานชิ้นนี้ทั้งสองได้รับมอบรางวัลจากสมาคมวิทยาศาสตร์หลายแห่ง ได้แก่
เหรียญทองเดวี่ จากราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน และ ค.ศ.1903
ทั้งสองได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
รวมกับเบคเคอเรลผู้ค้นพบรังสีจากธาตุยูเรเนียม
นอกจากนี้ทั้งสองยังได้รับเงินสนับสนุนจากสภาวิทยาศาสตร์แห่งฝรั่งเศสในการจัดซื้อแร่พิทช์เบลนด์
ซึ่งทั้งสองเหมาะสมที่จะได้รับรางวัลเหล่านี้เป็นที่สุด
เพราะแม้ว่าการแยกแร่เรเดียมออกจากธาตุพิทช์เบลนด์จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก
และใช้เวลาในการค้นหานานถึง 4 ปี ก็ตาม แต่ทั้งสองก็ไม่ได้นำผลงานชิ้นนี้ไปจดทะเบียนสิทธิบัตร
อีกทั้งยังเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับรู้อย่างละเอียดทุกขั้นตอน ในปี ค.ศ.1906
ปิแอร์ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนทำให้เสียชีวิตทันที
นำความเศร้าโศกเสียใจมาสู่มารีเป็นอันมาก แต่เธอก็ไม่ได้ละทิ้งการทดลองวิทยาศาสตร์
ต่อมามหาวิทยาลัยปารีสได้อนุมัติเงินก้อนหนึ่งให้กับมารี
ในการจัดสร้างสถาบันเรเดียม พร้อมกับอุปกรณ์อันทันสมัย เพื่อทำการทดลองค้นคว้าและแยกธาตุเรเดียม
สำหรับประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไป
จากการค้นคว้าเกี่ยวกับธาตุเรเดียมอย่างจริงจังในปีค.ศ.1911
มารีได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์อีกครั้งหนึ่งจากผลงานการค้นคว้าหาประโยชน์จากเรเดียมเพิ่มเติม
มารีได้ออกแบบสถาบันแห่งนี้ด้วยตัวของเธอเอง
สถาบันแห่งนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1914
ถึงแม้ว่าจะมีห้องทดลองและอุปกรณ์ที่ทันสมัยแล้วแต่ก็มีเหตุที่ทำให้การทำงานต้องหยุดชะงัก
เพราะได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น ทำให้ผู้ช่วยและคนงานที่ทำงานในสถาบันเรเดียม
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เมื่อเป็นเช่นนั้นมารีจึงสมัครเข้าร่วมกับอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บ
อีกทั้งยังนำความรู้ไปใช้ในงานครั้งนี้ด้วย เธอจัดตั้งแผนกเอกซเรย์เคลื่อนที่ขึ้น
เพื่อตระเวนรักษาทหารที่บาดเจ็บตามหน่วยต่าง ๆ
มารีได้รักษาทหารที่บาดเจ็บด้วยรังสีเอกซ์มากกว่า 100,000 คน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1
สงบลง มารีได้กลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง และผลจากการทดลองค้นคว้าเรเดียมทำให้เธอได้รับผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสีของเรเดียม
ทำให้ไขกระดูกเธอถูกทำลาย และเสียชีวิตในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1934
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น