อเลสซานโดร โวลตา : Alessandro
Volta
อเลสซานโดร โวลตา : Alessandro Volta
เกิด วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1745
ที่เมืองโคโม (Como) ประเทศอิตาลี (ltaly)
เสียชีวิต วันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1827
ที่เมืองโคโม (Como) ประเทศอิตาลี (ltaly)
ผลงาน - ประดิษฐ์เครื่องประจุไฟฟ้าสถิต (Electrophorus)
-
ประดิษฐ์อุปกรณ์สำหรับเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor)
-
อุปกรณ์สำหรับตรวจวัดชนิดของประจุไฟฟ้า (Electroscope)
- ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ชื่อว่า โวลตาอิค ไพล์ (Voltaic Pile) หรือแบตเตอรี่ไฟฟ้า
โวลต์ (Volt)
เป็นชื่อของหน่วยวัดแรงเคลื่อนที่ทางไฟฟ้า
ซึ่งมาจากชื่อของนักวิทยาศาสตร์ผู้ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขึ้น
สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ในปัจจุบันไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นมากต่อชีวิตประจำวัด
แม้ว่าไฟฟ้าจะถูกค้นพบตั้งแต่ปี 600 ก่อนคริสต์ศักราช
โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกนามว่าเทลีส (Thales) แต่การค้นพบของเทลีสเป็นเพียงการพบไฟฟ้าสถิต (Static Electricity) เทลีสได้นำแท่งอำพัน
ถูกับเสื้อผ้าที่ทำด้วยขนสัตว์อย่างรวดเร็วจากนั้นเขาพบว่าแท่งอำพันสามารถดูดวัตถุเบา
ๆอย่างกระดาษชิ้นเล็ก ๆ เส้นผม ขน
หรือเศษฝุ่นบนพื้นได้ การที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะว่า
เมื่อนำแท่งอำพันไปถูกับขนสัตว์ทำให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่จากผ้าขนสัตว์ไปยังแท่งอำพัน
ทำให้แท่งอำพันเกิดประจุไฟฟ้าบลให้พับวัตถุนั้นจนเกิดความสมดุลของประจุไฟฟ้าแท่งอำพันก็จะไม่ดูดวัตถุนั้นได้อีก
การค้นพบของเทลีสถือว่าเป็นเพียงก้าวแรกของความเจริญทางด้านไฟฟ้าเท่านั้น
ต่อมาโวลตา นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีได้ทำให้ไฟฟ้ามีความเจริญมากขึ้นไปอีกโดยการประดิษฐ์เครื่องมือหลายอย่างที่เกี่ยวกับไฟฟ้า
ผลงานที่
สำคัญและมีชื่อเสียงก็คือเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
หรือแบตเตอรี่ไฟฟ้า อันเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์และมีความสำคัญอย่างมาก ในการที่จะผลิตกระไฟฟ้า
โวลตาเกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์
ค.ศ. 1745 ที่เมืองโคโม ประเทศอิตาลี ประวัติส่วนตัวของเขาไม่มีใครทราบแน่ชัด
รู้เพียงแต่ว่าโวลตาอยู่ในความอุปการะของญาติคนหนึ่ง
โวลตาได้รับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนพับลิคแห่งเมืองโคโม และเข้าศึกษาต่อในวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองโคโม
หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคโมแล้ว โวลตาได้เข้าทำงานเป็นครูสอนวิชาฟิสิกส์ที่โรงเรียนรอยัล เซมมิเนร์
โรงเรียนมัธยมในเมืองโคโมนั่นเอง ต่มาในปี ค.ศ. 1771
เขาได้รับการแต่งตั้งในเป็นศาสตราจารย์ ประจำภาควิชาเคมี ที่มหาวิทยาลัยโคโม
และในปี ค.ศ. 1774 เขาได้รับการแต่งตั้งในเป็นศาสตราจารย์ ประจำภาควิชาฟิสิกส์ใน มหาวิทยาลัยแห่งเดียวกันในระหว่างที่เขาทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้โวลตาได้ศึกษาเกี่ยวกับไฟฟ้า
และในปี ค.ศ. 1775 โวลตาได้ประดิษฐ์เครื่องประจุไฟฟ้าสถิตขึ้น
เขาเรียกเครื่องนี้ว่า "เครื่องประจุไฟฟ้าสถิต (Electrophorus)" ในปีต่อมาเขาได้ทำการ ค้นคว้าเกี่ยวกับก๊าซมาร์ช
ผลจากการทดลองค้นคว้าเขาได้เขียนลงในหนังสือชื่อว่า Lettere Sull Aria Ifiammabile delle Paludi เขาไม่ได้หยุดการค้นคว้าแต่เพียงเท่านี้
ในปี ค.ศ. 1777 เขาได้ประดิษฐ์อุปกรณ์เกี่ยวกับไฟฟ้าขึ้นอีกหลายชิ้นได้แก่ คาแพคซิเตอร์
เป็นอุปกรณ์สำหรับเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor) และ อิเล็กโทรสโคป เป็น อุปกรณ์สำหรับตรวจวัดชนิดของประจุไฟฟ้า (Electroscopes) นอกจากนี้เขายังได้ประดิษฐ์ตะเกียงแก๊ส
และออดิโอมิเตอร์ (Audio meter) อีกด้วย จากผลงานต่าง ๆ
การประดิษฐ์อุปกรณ์เกี่ยวกับไฟฟ้าหลายชนิด
ทำให้ โวลตามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้น และในปี ค.ศ. 1779 เขาได้รับเชิญจาก มหาวิทยาลัยปาเวีย (Pavia University) ให้เข้าดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์
แม้ว่าเขาจะมีหน้าที่การงาน และชื่อเสียงมากขึ้น
โวลตาก็ยังทำการค้นคว้าเกี่ยวกับไฟฟ้าตลอดเวลา
จนกระทั่ววันหนึ่งเขาได้รับทราบข่าวว่ามีการค้นพบไฟฟ้าจากกบของลุยจิ
กัลวานี (Luigi Galvani) นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีซึ่งพบโดยบังเอิญขณะสอนวิชากายวิภาคเกี่ยวกับกบ
เมื่อกัลวานีใช้คีมแตะไปที่ขากบที่วางอยู่บนจานโลหะ ทันใดนั้นขากบก็ กระตุกขึ้นมา
สร้างความประหลาดใจให้แก่เขาและนักศึกษาภายในห้องนั้น
จากนั้นเขาก็ทำการทดลองแบบเดียวกันนี้ซ้ำอีกหลายครั้ง
ซึ่งผลก็ออกมาเหมือนกันทุกครั้ง
จากผลการทดลอง กัลวานีจึงสรุปว่ากบมีไฟฟ้าอยู่ทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นเมื่อใช้คีมแตะตัวกบ
เพราะคีมทำจากเหล็กซึ่งเป็นสื่อไฟฟ้า
เมื่อโวลตาได้มีโอกาสอ่านหนังสือของกัลวานีทำให้เขาทำการทดลองตามแบบของกัลวานีแต่ทดลองเพิ่มเติมกับสิ่งอื่น
เช่น ลิ้นโดยนำเหรียญเงินมาวางไว้บนลิ้น
และนำเรียนทองแดงมาไว้ใต้ลิ้น ปรากฏว่าเขารู้สึกถึงรสเค็มและลิ้นกระตุก
จากผลการทดลอง โวลตาพบว่า
อันที่จริงแล้วกบไม่ได้มีไฟฟ้า
แต่การที่ขากบนั้นเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของโลหะที่ถูกเชื่อมโยงด้วยกรดเกลือซึ่งมีอยู่
ในสัตว์ รวมถึงกบและมนุษย์ด้วย
จากผลการทดลองครั้งนี้ โวลได้ทดลองสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้น โดยการใช้ชามอ่าง 2 ใบ
จากนั้นก็ใส่ น้ำเกลือ
และหนังฟอกที่ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงไป จากนั้นนำแผ่นเงินและสังกะสี
ขนาดประมาณเท่าเหรียญเงิน มาประกบกันจำนวน 8 คู่ โดยเริ่มจากแผ่นสังกะสีก่อนแล้วจึงเป็นแผ่นเงิน
จากนั้นจึงนำมาวางบงบนโลหะยาวเพื่อเชื่อมโลหะทั้งหมดเป็นแท่งที่ 1 ส่วนอีกแท่ง
หนึ่งทำให้ลักษณะเดียวกันแต่ใช้แผ่นเงินวางก่อนแล้วจึงใช้แผ่นสังกะสี
จากนั้นนำโลหะทั้ง 2 แท่ง ใส่ลงในชามอ่างทั้ง 2 ใบ ซึ่งวาง อยู่ใกล้กันแต่ไม่ติดกัน
จากนั้นใช้ลวดต่อระหว่างแท่งโลหะในอ่างทั้ง 2 อ่าง
เมื่อทดสอบปรากฏว่ามีกระแสไฟฟ้าอยู่บนเส้นลวดนั้น
ในปี ค.ศ. 1788
โวลตาได้นำหลักการเดียวกันนี้มาประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าชื่อว่า โวลตาอิคไพล์ (Voltaic Pile) หรือที่รู้จัก กันดีในชื่อของ แบตเตอรี่ไฟฟ้า (Battery) ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดแรกของโลกที่เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีโดยแบตเตอรี่
ของโวลตาใช้แผ่นทองแดงวางเป็นแผ่นแรก ต่อด้วยกระดาษชุบกรดเหลือ หรือกรดกำมะถัน
ต่อจากนั่นใช้แผ่นสังกะสีและกระดาษชุบกรดเกลือ หรือกรดกำมะถัน
ซ้อนสลับกันเช่นนี้เรื่อยไปประมาณ 100 แผ่น จนถึงแผ่นสังกะสีเป็นแผ่นสุดท้าย
ต่อจาก นั้นใช้ลวดเส้นหนึ่ง ปลายข้างหนึ่ง่อกับแผนทองแดงแผ่นแรกส่วนอีกข้างหนึ่งต่อเข้ากับแผ่นสังกะสีแผ่นสุดท้าย
ด้วยวิธีการเช่นนี้ จะทำให้ลวดเส้นดังกล่าวมีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ตลอด
ต่อจากนั้นโวลตาได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับโวลตาอิค ไพล์ต่อไป
จนพบว่ายิ่งใช้แผ่นโลหะมากแผ่นขึ้นเท่าไรก็จะทำให้เกิดกระแส ไฟฟ้ามากขึ้นตามลำดับและได้นำหลักการดังกล่าวมาสร้างเครื่องโวลตาอิค
เซล (Vlotaic Cell) โดยใช้โวลตาอิค ไพล์หลาย ๆ อันมา ต่อกันแบบอนุกรมซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้ได้กระแสไฟฟ้ามากขึ้น
และแรงกว่าที่ได้จากโวลตา อิค ไพล์
และในปีเดียวกัน โวลตาได้ส่งรายงานผลการทดลองของเขาไปยังราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน
(Royal Society of London) โดยเขาตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ว่า
Philosophical Transaction ซึ่งทางราชสมาคมได้ให้ความสนใจ
และเผยแพร่ ผลงานของเขาลงในวารสารของทางสมาคมและเมื่อผลงานของเขาได้เผยแพร่ออกไป
ทำให้เขามีชื่อเสียงได้รับการยกย่องจากวงการวิทยาศาสตร์
และสาธารณชนเป็นอย่างมาก
ผลงานของโวลตาชิ้นนี้ยังทำให้เกิดกระแสการค้นคว้าไฟฟ้าในวงการวิทยาศาสตร์มากขึ้น ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ
เขาสามารถล้มล้างทฤษฎีไฟฟ้าในสัตว์ (The Principle
of Animal Electricity) ของกัลวานีลงไปได้
แต่กาารค้นพบของกัลวานีก็ยังมีข้อดี คือ
ทำให้โวลตาสามารถค้นพบกระแสไฟฟ้าได้เป็นผลสำเร็จ จากผลงานชิ้นนี้ทำให้โวลตาได้รับรางวัลจากสถาบันวิทยาศาสตร์หลายแห่ง ได้แก่
ค.ศ. 1791 เขาได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญแห่งปี
และได้รับเหรียญคอพเลย์ (Copley Medal) จากราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน
ต่อมาในปี ค.ศ. 1802 เขาได้รับเชิญจากพระเจ้านโปเลียนที่ 1 (King Napoleon I) แห่งฝรั่งเศส
โวลตาได้นำการทดลองไปแสดงต่อหน้าพระพักตร์ซึ่งทรงชอบพระทัยเป็นอย่างมาก
ทรงมอบเงินจำนวน 6,000 ปรังค์ ให้กับโฑวลตาเป็นรางวัลในครั้งนี้ด้วย
นอกจากนี้โวลตายังได้รับรางวัลเหรียญทองจากสถาบันแห่งปารีส (Institute de Paris) หลังจากนั้นโวลตาได้เดินทางกลับประเทศอิตาลี
ซึ่งประชาชนให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี อีกทั้งเขายังได้รับเชิญให้เข่าร่วมเป็นสมาชิกของสภาซีเนต
แห่งลอมบาร์ดี้, ได้รับพระราชทานยศท่านเคานท์(Count) และได้รับเชิญให้ดำรงตำแหน่งคณบดีประจำคณะปรัชญาที่ มหวิทยาลัยปาดัง (Padua
University) โวลตาได้ทำการค้นคว้างานด้านไฟฟ้าของเขาอยู่ตลอด และได้พิมพ์เผยแพร่ผลงานลงในวารสารชื่อว่า
Sceltad Opuscoliในประเทศอิตาลี
ในปี ค.ศ. 1819
โวลตาได้ลาออกจากทุกตำแหน่งหน้าที่ เพราะเขาอายุมากแล้วต้องการจะพักผ่อน
โวลตาเสียชีวิตในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1827 ที่เมืองโคโม
ประเทศอิตาลี จากการค้นพบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
และบุกเบิกงานด้านไฟฟ้าให้มีความเจริญก้าวหน้า มากขึ้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1881
ภายหลังจากที่โวลตาเสียชีวิตไปแล้ว 54 ปี ทางสภาไฟฟ้านานาชาติ (The International Electrical Congress) ได้มีมติในที่ประชุมว่าควรตั้งชื่อหน่วยวัดแรงเคลื่อนที่ต่อเนื่องของไฟ
ที่มา http://siweb.dss.go.th/Scientist/scientist/Alessandro%20Volta.html
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น